กลยุทธ์ในการเรียนภาษา
ในปัจจุบันถือว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษามาตรฐานที่มีการใช้ในการสื่อสารติดต่อระหว่างกันทั่วโลก
สำหรับในประเทศไทยจึงมีการจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในรูปแบบต่างๆมากมาย
มีความหลากหลายและมีการพัฒนาให้มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีทั้ง โรงเรียนสองภาษา
โรงเรียนสามภาษา และยังมีสถาบันกวดวิชาต่างๆที่เน้นการสอนภาษาอังกฤษซึ่งผุดขึ้นมาเยอะยิ่งกว่าดอกเห็ด
รวมไปถึง โปรแกรมการเรียน “ภาคอินเตอร์” ที่สอนวิชาอื่นๆเป็นภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
เพราะเชื่อว่าหากผู้เรียนได้เรียนเป็นภาษอังกฤษมากเพียงใด ก็จะสามารถเรียนรู้ เข้าใจและเก่งภาษาอังกฤษมากเท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีการศึกษานอกระบบต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ภาษาอังกฤษอีกไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนการสอนภาษาอังกฤษผ่านสื่อวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต
ซึ่งถือเป็นการเปิดโอกาสให้บุคคลทั่วไปหรือผู้ที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติม
รวมทั้งผู้ที่ต้องการเรียนรู้ที่บ้านได้เรียนภาษาอังกฤษอีกด้วย แต่ถึงอย่างไรก็ตามการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของไทยก็ยังคงมีปัญหามาจนถึงทุกวันนี้
ถึงแม้จะมีการพัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษไปมากเพียงใดก็ตาม
แต่คุณภาพในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาที่คาราคาซัง
ไม่สามารถแก้ไขได้มาจนถึงปัจจุบัน กล่าวคือ
ผู้เรียนส่วนใหญ่ในทุกระดับยังไม่รู้ภาษาอังกฤษพอที่จะฟัง พูด อ่าน เขียน หรือแปล
ในขั้นที่ใช้การได้จริงได้ อาจจะกล่าวได้ว่า แม้ในระดับพื้นฐาน ผู้เรียนของไทย
ก็ยังไม่มีความรู้ขั้นนี้มากพอ ยังไม่สามารถเอาตัวรอดได้
จนทำให้ผู้คนมากมายกล่าวว่า ผู้เรียนในปัจจุบันอ่อนภาษามากกว่าผู้คนในยุคก่อน
ทั้งที่สามารถเข้าถึงการเรียนรู้ภาษาได้ดีกว่า
เพราะมีเทคโนโลยีต่างๆที่เอื้อต่อการเรียนรู้
และยังมีโอกาสได้พบเห็นและใช้ภาษาอังกฤษมากกว่าสมัยก่อน
เมื่อได้มองไปยังปัญหาของการเรียนภาษาอังกฤษแล้วนั้น
ผู้คนส่วนใหญ่มักวิพากษ์วิจารณ์และมั่งประเด็นไปที่ปัจจัยภายนอก ดังนี้
- โทษครูผู้สอน กล่าวคือ มีการกล่าวโทษว่าครูผู้สอนขาดความรู้ความเข้าใจ และขาดความชำนาญในการใช้ภาษา มีสรรถนะไม่เพียงพอที่จะสอนภาษาอังกฤษ และขาดวิธีการสอนที่สามารถทำให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย รวมไปถึงความเชื่อที่ว่า หากจะเรียนภาษาอังกฤษต้องเรียนกับครูชาวต่างชาติเท่านั้น จึงจะทำให้ผู้เรียนซึมซับและเข้าใจมากขึ้น
- โทษตำรา แบบเรียน
และสื่อการเรียนการสอน กล่าวโทษว่าสิ่งเหล่านี้ที่นำมาสอนผู้เรียนนั้นขาดคุณภาพ
ไม่ได้มาตรฐาน เพราะมีข้อผิดพลาดมากมาย มีความบกพร่อง ไม่มีความน่าสนใจ
ทำให้ไม่ดึงดูดใจผู้เรียน
จึงทำให้ไม่นำไปสู่การเรียนรู้ให้เกิดทักษะในการใช้ภาษาอย่างแท้จริง
- โทษสถานศึกษาและการจัดการเรียนการสอน
โทษว่าการจัดหลักสูตรให้สัดส่วนแก่ภาษาอังกฤษน้อยเกินไป
ทั้งในวิชาบังคับและวิชาเลือก ยังไม่เพียงพอต่อการเกิดทักษะ
มีเวลาเรียนในสัปดาห์น้อย ทำให้ผู้เรียนไม่สามารถพัฒนาทักษะได้
อีกทั้งชั้นเรียนมีขนาดใหญ่เกินไป จำนวนนักเรียนมากเกินไป
ทำให้ผู้สอนไม่สามารถดูแลเอาใจใส่ผู้เรียนได้อย่างทั่วถึง
- โทษนโยบายของรัฐ
ว่านโยบายขาดทิศทางและยุทธศาสตร์ในการจัดการศึกษาภาษาอังกฤษให้สอดคล้องกับสภาพจริงและมีประสิทธิผล
นั่นคือ รัฐบาลไม่สามารถทำให้การเรียนภาษาอังกฤษเป็นการเรียนในสภาพที่แท้จริงได้
ส่วนใหญ่มักเป็นการจำลองสถานการณ์ในชั้นเรียน เมื่อต้องการให้นักเรียนฝึกพูด
ทั้งที่ความจริงแล้วควรให้นักเรียนได้ฝึกพูดกับเจ้าของภาษา
- โทษสภาพแวดล้อมทางสังคม
สภาพแวดล้อมไม่เอื้อต่อการใช้ภาษาในสถานการณ์จริง
เนื่องจากคนส่วนใหญ่ในสังคมไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน
กล่าวคือ ผู้คนส่วนใหญ่ได้เรียนภาษาอังกฤษแต่กลับไม่สามารถได้นำไปใช้จริง
จึงทำให้ผู้คนเห็นว่าภาษาอังกฤษไม่มีความจำเป็น
ประเด็นต่างๆที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้นก็ถือว่าเป็นปัญหาในการเรียนภาษาอังกฤษ
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ยังมีประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง
ซึ่งถือว่ามีความจำเป็นและสำคัญที่สุดในการเรียนภาษานั่นคือ ตัวบุคคล
อาจจะเห็นว่าท่ามกลางความอ่อนแอของระบบการศึกษาภาษาอังกฤษ
แต่ก็มีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่สามารถพัฒนาตนเองได้ดี และเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาได้
การที่บุคคลคนหนึ่งจะสามารถเรียนภาษาที่ไม่ใช่ภาษาแม่ได้อย่างเข้าใจ
และสามารถใช้ภาษานั้นๆได้ถูกต้องนั้น อาจมีหลายปัจจัย เช่น
มีโอกาสใช้ภาษาในสถานการณ์จริงมากกว่าผู้อื่น อาจเกิดจากการคลุกคลีกับเจ้าของภาษามากพอ
หรือได้ใช้บ่อยๆ ได้ศึกษาจากครูที่มีความรู้ความชำนาญเป็นอย่างมาก
ตลอดจนได้มีการศึกษาค้นคว้าจากสื่อรอบตัวที่มีคุณภาพมาตรฐานมากพอ
แต่บุคคลจะไม่สามารถพัฒนาตนได้ดี หากไม่มีปัจจัยภายในที่ทำให้เกิดการเรียนรู้
นั่นคือ เป็นผู้ที่มีความถนัดหรือมีความสนใจมากเป็นพิเศษ
อาจเกิดจากการชื่นชอบดาราฮอลลีวูด หรือชอบนักร้องต่างชาติ
มีเจตคติที่ดีต่อการใช้ภาษา
คือมีความกล้าที่จะพูดคุยกับเจ้าของภาษาโดยไม่กลัวว่าจะถูกหรือผิด
มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียน คือมีความมั่งมั่นที่จะพัฒนาตนหรือเติมเต็มในส่วนที่ตนยังไม่รู้
โดยการศึกษาค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ประกอบกับมีความทุ่มเทมากพอ
และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค จากประเด็นข้างต้นจึงอาจสรุปได้ว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษานั้นอยู่ที่ตัวบุคคล
หากเรามัวแต่โทษปัจจัยภายนอกนั้น เราจะไม่สามารถพัฒนาทักษะทางภาษาของเราไม่ได้
เราจะมัวแต่หวังพึ่งระบบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นคงเป็นไปได้ยาก
หรืออาจต้องใช้เวลานาน
ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องหันกลับมาให้ความสำคัญกับปัจจัยภายใน
โดยการพึ่งตนเองให้มากขึ้น
การจะพึ่งตนเองให้สามารถเรียนภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น
จำเป็นต้องมีการวางแผนและการจัดการให้เป็นไปตามระบบ เป็นไปตามลำดับขั้นตอน
เพื่อทำให้เราสามารถทำให้เกิดสิ่งเหล่านั้นได้จริง
ทำให้มีความสุขในการทำสิ่งเหล่านี้ ไม่เคร่งเครียดจนเกินไป
โดยอาจมีขั้นตอนสำคัญดังนี้
1. การกำหนดวัตถุประสงค์
2.
รู้จัก จัดเตรียม และแสวงหาแหล่งความรู้
3.
พัฒนากลยุทธ์การเรียน
4.
ลงมือปฏิบัติ
เริ่มตั้งแต่การกำหนดวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
ซึ่งควรกำหนดให้เป็นรูปธรรมว่า จะต้องสามารถทำอะไรได้บ้าง (ฟัง พูด อ่าน เขียน
และแปล) ภายในกรอบเวลาอันใด โดยควรกำหนดเวลาให้ชัดเจน เช่น ภายใน 1 ปี สามารถชมข่าวภาษาอังกฤษทางโทรทัศน์ได้เข้าใจจนสามารถสรุปสาระสำคัญของเนื้อข่าวได้
หรือภายใน 6 เดือน สามารถสนทนาขั้นพื้นฐานกับชาวต่างชาติได้
แต่ทั้งนี้การกำหนดเป้าหมายนี้ต้องสอดคล้องกับสภาพความเป็นจริงและสามารถทำได้จริง และเมื่อสามารถทำขั้นนี้ได้สำเร็จแล้วนั้น
จะนำไปสู่การรู้จักจัดเตรียม และเสาะหาสื่อและแหล่งความรู้
เมื่อกำหนดวัตถุประสงค์แล้ว
ก็จะต้องรู้จักจัดเตรียม
และเสาะหาสื่อและแหล่งความรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้และฝึกทักษะด้วยตนเอง เช่น
โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม เพื่อการรับชมข่าวต่างประเทศ หนังสือพิมพ์รายวัน เพื่อฝึกทักษะการอ่านและสร้างความเข้าใจ
และคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมากและใช้ฝึกทักษะได้หลากหลาย
และเมื่อสามารถทำขั้นนี้ได้สำเร็จแล้วนั้น จะนำไปสู่การพัฒนากลยุทธ์การเรียน
เมื่อรู้จัก
จัดเตรียมและแสวงหาสื่อและแหล่งเรียนรู้แล้ว จำเป็นต้องพัฒนากลยุทธ์ในการเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
โดยผู้เรียนแต่ละคนจะมีวิธีการเรียนและการสร้างองค์ความรู้เพื่อให้เกิดการเรียนรู้แตกต่างกันออกไปซึ่งถือเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
แต่วิธีการพัฒนากลยุทธ์ในการเรียนที่นำมาเสนอนี้เป็นวิธีที่ใช้กันโดยทั่วไป
โดยที่ผู้เรียนทุกคนและทุกระดับความสามารถนั้นสามารถนำไปปฏิบัติได้
เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนภาษาอังกฤษที่ดี
นอกจากนี้ยังสามารถนำไปปรับแต่งให้เป็นยุทธ์ศาสตร์เฉพาะตัวตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคลต่อไป
ทั้งยังสามารถนำไปประยุกต์กับการเรียนวิชาอื่นๆได้อีกด้วย ซึ่งกลยุทธ์ในการเรียนภาษามีองค์ประกอบดังนี้
1. ศึกษา
การเรียนภาษาจะต้องเริ่มจากความรู้เกี่ยวกับตัวภาษาโดยตรงก่อนเสมอ
คือเราต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับภาษานั้นที่เราต้องการจะศึกษา
สำหรับในภาษาอังกฤษนั้น ความรู้ที่เปรียบเสมือนเสาหลัก คือ ศัพท์ คือ
ถ้อยคำที่ใช้แทนความหมาย และไวยากรณ์ คือ
ระเบียบกฎเกณฑ์ว่าด้วยเรื่องการนำถ้อยคำมาร้อยเรียงประกอบกันเข้าเป็นหน่วยที่ใหญ่ขึ้นเพื่อใช้สื่อความหมายได้สมบูรณ์
นอกจากตัวเนื้อภาษาแล้ว ยังมีความรู้อีก 2 ด้านใหญ่ๆ
ที่ไม่ควรละเลย
- ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของภาษา กล่าวคือ ในภาษาอังกฤษที่ใช้ในปัจจุบันนี้นั้น
มีภาษาอังกฤษ 2 แบบ คือ อังกฤษแบบอังกฤษ
และอังกฤษแบบอเมริกัน ซึ่งทั้งสองแบบนี้ใช้ต่างกัน ดังนั้นเราจะต้องศึกษา
ทำความเข้าใจ และใช้ให้ถูกต้อง
นอกจากนี้ยังมีในด้านของการใช้ภาษาสื่อสารกับบุคคลในระดับต่างๆในสังคม
และการเรียนรู้ภาษาที่ถูกต้อง
- ความรู้เกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมของชนชาติเจ้าของภาษา (สังคม วิถีชีวิต
ประวัติศาสตร์ ศาสนา ศิลปะ วรรณคดี ฯลฯ) ซึ่งในการเรียนภาษา ความรู้เหล่านี้ถือเป็นตัวสำคัญที่สามารถทำให้เราเข้าใจภาษาที่กำลังศึกษาได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และช่วยให้สามารถใช้ภาษาสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้อย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย
แต่อุปสรรคสำคัญในการเรียนการสอนภาษาในบ้านเราคือ
มักมีผู้คนเน้นย้ำกับผู้เรียนเสมอว่า “ภาษาเป็นวิชาทักษะ ไม่ใช่วิชาเนื้อหา”
จึงทำให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจผิดว่า ในการเรียนภาษาไม่จำเป็นต้องเรียนเนื้อหา
แค่ฝึกปฏิบัติให้มากก็สามารถเข้าใจได้
ซึ่งนั่นถือเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้เรียนไม่ให้ความสำคัญต่อเนื้อหา
ทั้งๆที่หากเราไม่มีความรู้ในด้านของเนื้อหา
เราจะไม่สามารถใช้ทักษะอย่างถูกต้องได้ จากนี้เราต้องสร้างความเข้าใจว่า เนื้อหา
เป็นหลักของภาษาโดยตรง และเมื่อเรามีเนื้อหาของภาษาที่แน่นมากพอแล้ว
เราจึงควรฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะที่มีคุณภาพ
2. ฝึกฝน
การเรียนภาษาต่างจากการเรียนวิชาอื่นๆ
คือ ผู้เรียนจะต้องมีทั้งความรู้และทักษะควบคู่กันไป คือ
มีความรู้ในภาคทฤษฎีและมีทักษะในภาคปฏิบัติ
เพราะหากเรียนเฉพาะภาคทฤษฎีโดยไม่ฝึกปฏิบัติก็จะทำให้การใช้ภาษาไม่บรรลุผลได้
เพราะการฝึกทักษะทางภาษาก็คือการฝึกพฤติกรรมการใช้ภาษาซ้ำแล้วซ้ำอีกจากข้อมูลความรู้ภาคทฤษฎี
จนผู้เรียนสามารถสื่อสารได้ถูกต้องคล่องแคล่ว ฉะนั้น
หากผู้เรียนมีความรู้ด้านเนื้อหาที่ถูกต้องแต่นำไปใช้ผิด
ก็จะทำให้การสื่อสารนั้นไม่บรรลุผล ซึ่งการจะฝึกภาษาให้ได้ผลนั้นจะต้องผ่านองค์ประกอบดังนี้
- ตา – ดู ซึ่งส่วนนี้ครอบคลุมทั้งการอ่าน การดู และการสังเกต ซึ่งการจะฝึกการใช้ภาษานั้นต้องเริ่มจากการรับสารเข้ามายังตัวบุคคลก่อน
นั่นคือ การอ่าน โดยสามารถทำได้จากการอ่านหนังสือ อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์
และการอ่านบทความ ซึ่งในขณะอ่านเราอาจจะมีคำที่ไม่เข้าใจ จึงจำเป็นต้องแปลความหมาย
เพื่อให้เรามีความเข้าใจมากขึ้น และได้เพิ่มคำศัพท์ใหม่ๆในสมอง นอกจากนี้ยังมี
การดู ซึ่งเกิดจากการดูภาพยนตร์ โทรทัศน์ วีดิทัศน์ และสื่อมัลติมีเดีย
ซึ่งในช่วงแรกของการฝึก อาจฝึกโดยการมีคำแปลภาษาไทยก่อน เมื่อเกิดความชำนาญแล้ว
ก็สามารถดูได้เข้าใจโดยไม่จำเป็นต้องดูคำแปลภาษาไทย
- หู - ฟัง
ครอบคลุมทั้งเสียงและน้ำเสียงของผู้พูดในการสนทนาซึ่งหน้าหรือสนทนาทางโทรศัพท์
ซึ่งในตอนแรกเราอาจจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง แต่เมื่อเราได้ฝึกฟังบ่อยๆก็จะสามารถทำให้เราเข้าใจได้ทั้งหมด
ในตอนแรกหากเราฟังไม่เข้าใจเราอาจจะให้ผู้พูดช่วยพูดให้ช้าลง
เพื่อให้เราสามารถเข้าใจความหมายได้ทีละคำ
แต่เมื่อเราชำนาญแล้วเราก็อาจฟังเขาพูดในระดับปกติได้ ฟังบรรยาย ฟังแถบบันทึกเสียง
ฟังเสียงในฟิล์มของภาพยนตร์ สำหรับในส่วนนี้ ตรงไหนที่เราฟังไม่เข้าใจเราสามารถกดหยุดแล้วก็กลับไปฟังในส่วนที่เราไม่เข้าใจได้
เพื่อทำให้เราสามารถเข้าใจได้มากขึ้น และอาจจะฟังในส่วนที่ไม่เข้าใจนั้นซ้ำ ๆ ซ้ำ
ๆ เพื่อให้สามารถจำได้ โทรทัศน์ วีดีทัศน์
และสื่อมัลติมีเดียทางคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต
- ปาก-พูด หมายถึง
การออกเสียง การพูด การสนทนา การอ่านออกเสียง
และยังครอบคลุมไปถึงการพูดในที่ประชุม การนำเสนอด้วยวาจา การกล่าวสุนทรพจน์
การบรรยายและการปาฐกถา
โดยที่เราจะต้องฝึกพูดบ่อยๆไม่ว่าจะเป็นกับเพื่อนหรือกับครูอาจารย์
รวมไปถึงชาวต่างชาติที่เราพบเจอ เพื่อที่เขาจะได้เห็นข้อบกพร่องของเราและให้คำแนะนำเพื่อที่เราจะได้นำไปปรับปรุง
พัฒนาและฝึกให้ดียิ่งขึ้นไป
- มือ-เขียน
ได้แก่การเขียนและหมายรวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ทดแทนการเขียนด้วยมือ เช่น
เครื่องพิมพ์ดีด หรือคอมพิวเตอร์
ผู้เรียนภาษาต้องใส่ใจเรื่องระเบียบแบบแผนที่ถูกต้องในการเขียน คือ ตัวสะกด
การแบ่งวรรคตอน การใช้เครื่องหมายวรรคตอนและเครื่องหมายอื่น ๆ
การใช้อักษรตัวใหญ่และแม้กระทั่งลายมือและยังรวมไปถึงการคำนึงถึง
ความถูกต้องในหลักไวยากรณ์ ซึ่งในสำหรับการฝึกเขียนนั้นในขั้นเบื้องต้นอาจเริ่มจากการเขียนข้อความสั้นๆ
บันทึกประจำวัน แล้วจึงพัฒนาไปสู่การเขียนเรียงความ
ทั้ง
4 ทางนี้สอดคล้องกับทักษะการใช้ภาษา 4 ด้าน นอกจากนี้ยังต้องมีแรงเสริมอีก 2
ทางคือ
- หัว-คิด หมายถึง สมรรถนะทางด้านปัญญาในการคิดพิจารณา-วิพากษ์-วิจารณ์สิ่งที่กำลังศึกษา นั่นหมายถึงว่า
ไม่ว่าเรากำลังทำอะไร ให้คิดเสมอว่าสิ่งที่ทำออกไปนั้น ถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี
แล้วจึงนำข้อผิดพลาดมาแก้ไข้ ปรับปรุง
-
ใจ- รัก หมายถึง สมรรถนะทางด้านจิต เริ่มด้วยฉันทะ คือ
ใจรักสิ่งที่ศึกษาก่อน เพราะหากเรามีใจรักนั้น ไม่ว่าเราจะศึกษาเรื่องอะไร
จะสามารถทำให้เรามีความสุข และเข้าใจได้ง่า จากนั้นก็มีความหมั่นเพียรในการศึกษา
และมีความใส่ใจในสิ่งที่ศึกษา ซึ่งจะนำไปสู่ความสำเร็จในที่สุด
ทั้ง
6 ข้อ นี้อาจเรียกชื่อโดยรวมเพื่อให้จดจำได้ง่ายว่า อินทรีย์ 6 ในการเรียนภาษา
แต่ถึงแม้ว่าการฝึกทักษะเฉพาะด้าน
โดยลักษณะธรรมชาติของการใช้ภาษาต้องอาศัยอวัยวะที่เกี่ยวกับการใช้ภาษาทำงานประสานสัมพันธ์กันอยู่ดี
กล่าวคือ ตา-หู-ปาก ใช้ในการสื่อสารด้วยวาจา หู-ปาก ใช้ในการสื่อสารทางโทรศัพท์
ส่วน ตา-มือ ใช้ในการสื่อสารด้วยลายลักษณ์อักษร ตา-หู-มือ ใช้ในการบันทึกระหว่างฟังบรรยาย
เป็นต้น ซึ่งสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้คนไทยใช้ภาษาอังกฤษ ได้ไม่คล่องแคล่ว
ก็คือ ผู้เรียนส่วนใหญ่ยังฝึกใช้ทักษะภาษาน้อยเกินไปในทุกทักษะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการพูดและการเขียน
ฉะนั้นเมื่อเรียนมาโดยได้ความรู้ด้านศัพท์และไวยากรณ์ที่ไม่แข็งแรงและขาดการฝึกฝน
แม้จะเรียนภาษาอังกฤษมาหลายปีแต่ในที่สุดก็เหมือนกับไม่ได้อะไรเลย
ฉะนั้นการเรียนภาษาเพื่อการสื่อสารจึงล้มเหลวเพราะไม่มีตัวภาษาที่จะให้ใช้สื่อสารได้
3. สังเกต
ภาษาอังกฤษมีเนื้อหาอยู่มาก
บางเรื่องบางด้านก็เป็นเรื่องซับซ้อน ซึ่งผู้ที่ไม่คุ้นจะรู้สึกว่าเข้าใจยาก
บางเรื่องก็เป็นลักษณะเฉพาะของภาษาเอง
ไม่อาจใช้เหตุผลคาดคะเนหรือใช้ตรรกะหยั่งรู้เอาเองได้ ผู้เรียนภาษาที่ดีจึงต้องฝึกเป็นคนช่างสังเกต
มีความละเอียดถี่ถ้วนรอบคอบในการเรียนและการใช้ภาษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องใส่ใจในเรื่องเยอะใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้
- ไวยากรณ์ เช่น
โครงสร้างของวลีและประโยค การเรียงลำดับคำ การผันรูปตาม tense
- ศัพท์ เช่น
ชนิดของคำ (ซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงตามปัจจัยประกอบท้ายศัพท์) และมีนัยสำคัญทางไวยากรณ์
คำที่มีหลายความหมาย คำที่มักปรากฏร่วมกัน (collocation)
- ภาษาสำเร็จรูป ซึ่งมีลักษณะก้ำกึ่งระหว่างศัพท์กับไวยากรณ์
ได้แก่ โวหาร (expression) ซึ่งใช้สื่อความหมายในสถานการณ์ต่าง ๆ ตามความนิยมในการใช้ภาษา (เช่น
การทักทาย,การขอบคุณ,การขอโทษ) สำนวน (idiom)
ซึ่งมีความหมายแตกต่างจากความหมายของถ้อยคำที่นำมารวมกัน
ตลอดจนสุภาษิต (proverb) ซึ่งใช้แทนถ้อยคำที่ใช้ทั่วไป
แต่สื่อความหมายได้กระชับและให้คติสอนใจอีกด้วย
4. จดจำ
ในยุคที่การปฏิรูปการศึกษากำลังเฟื่องฟูนี้
มีนักการศึกษาส่วนหนึ่งมักจะพูดตำหนิวิธีการเรียนแบบท่องจำในลักษณะที่สุดโต่ง
จนทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดเลยเถิดไปว่า การท่องจำเป็นวิธีเรียนที่เชย ล้าสมัย
ไม่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์และความสามารถในการวิพากษ์วิจารณ์ ฯลฯ
การท่องจำจึงไม่จำเป็นหรือไม่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้
แต่ตามความเป็นจริง
"ความจำ" เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของการเรียนรู้ทุกชนิด
รวมทั้งการเรียนภาษาด้วย กิจกรรมการเรียนรู้บางอย่างอาจอาศัยเพียงความจำตามครรลองปกติ
คือ ปล่อยให้จำได้เองตามธรรมชาติจากการหมั่นฝึกฝน
หรือทำซ้ำซากซักซ้อมทวนทานจนจำได้เอง แต่การเรียนภาษา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาต่างประเทศ ในหลายๆกรณี
การฝึกฝนตามครรลองปรกติจนจำได้เองอาจไม่เพียงพอ แต่ต้องอาศัย "การท่องจำ"
มาเสริม กล่าวคือ
ท่องปากเปล่าเพื่อให้จดจำถ้อยคำหรือข้อความจนสามารถเรียกกลับมาใช้ได้ดังใจตามต้องการ
ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเรียนภาษาที่มีวิภัตติ์ปัจจัย (เช่น บาลและสันสกฤต)
ย่อมทราบดีว่าการท่องรูปผันของคำนาม คำคุณศัพท์
และคำกริยา(การแจกวิภัตติ์)มีความจำเป็นและมีประโยชน์อย่างไร
ผลเสียจากการที่ผู้เรียนภาษาอังกฤษในยุคปัจจุบันละทิ้งการท่องจำมีตัวอย่างที่เห็นชัดเรื่องหนึ่ง
คือ ไม่สามารถใช้รูปคำกริยาที่ ผันรูปผิดปกติได้ถูกต้อง
หรือเกิดความสับสนเป็นประจำ
จากการท่องจำมาถึงเรื่อง "การจดจำ"
เพราะบางครั้งจะอาศัยการท่องปากเปล่าเพียงอย่างเดียวอาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์
(เช่น ในระหว่างฟังการบรรยาย) หรืออาจไม่เพียงพอ
จำต้องอาศัยการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรแทน หรือควบคู่ไปกับการท่องปากเปล่า
สิ่งที่จดบันทึกไว้ยังสามารถใช้ตรวจสอบอ้างอิงในภายหลังได้
ด้วยเหตุนี้ในชั้นเรียนของผู้เขียนเอง เมื่อมีการให้ความรู้ในภาคทฤษฎี
โดยเฉพาะเรื่องวิธีใช้คำและประเด็นไวยากรณ์ที่ซับซ้อน จึงมักเตือนผู้เรียนว่าต้อง
"จดใส่สมุด จำใส่สมอง" หรือ "จดใส่กระดาษจำใส่กะโหลก"
แทนที่นั่งฟังเฉย ๆ โดยไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ
5. เลียนแบบ
แต่ละภาษามีสัญนิยม
(convention) ของตนเอง อันเป็นข้อตกลงร่วมกันระหว่างคนที่ใช้ภาษาเดียวกัน
มิฉะนั้นจะสื่อสารกันไม่ได้เลย คนที่เป็นสมาชิกใหม่ของประชาคมที่ใช้ภาษานั้น ๆ
(เช่น เด็กเกิดใหม่ที่เริ่มเดือนภาษาแม่ หรือนักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาต่างประเทศ)
ก็ต้องยอมรับ ศึกษา และใช้ตามสัญนิยมนั้น ด้วยเหตุนี้ การเรียนภาษาจึงต้องอาศัยการเรียนตลอดทุกขั้นตอนหรือจะว่าตลอดชีวิตก็คงได้
ดังนี้
- เริ่มจากเด็กที่เรียนภาษา
ย่อมต้องหัดพูดตามหรือเลียนแบบภาษาของพ่อแม่และบุคคลอื่นในครอบครัว
- เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น
นักเรียนนักศึกษาจะเรียนภาษาของครูอาจารย์และเพื่อนร่วมชั้น นอกเหนือจากบุคคลในครอบครัวและสังคม
- แม้เมื่อเรียนสำเร็จและออกมาประกอบอาชีพแล้ว
คนในแต่ละสาขาอาชีพจะมีภาษาในแวดวงของตนเองที่จะต้องเลียนเลยใช้ตาม
เพื่อที่จะสื่อสารกับเพื่อนร่วมอาชีพได้
ข้อแตกต่างสำคัญระหว่างการเรียนภาษาแม่กับภาษาต่างประเทศ
ก็คือผู้ที่เรียนภาษาแม่อยู่ในสิ่งแวดล้อมของเจ้าของภาษา
จึงมีแหล่งข้อมูลความรู้ภาษาที่ถูกต้องมากกว่าเล่มมีมากมายเพียงพอที่จะใช้เป็นแบบอย่างในการฝึกตามได้
ในขณะที่ผู้เรียนภาษาต่างประเทศจะมีข้อเสียเปรียบในเรื่องนี้อย่างมาก เพราะขาดแคลน
"แบบ" ที่ใช้ "เลียน" ทั้งในเชิงคุณภาพและในเชิงปริมาณ
ด้วยเหตุดังกล่าว
พจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนสำหรับผู้เรียนภาษาจึงมีลักษณะสำคัญที่แตกต่างจากพจนานุกรมสำหรับเจ้าของภาษาคือ
สอดแทรกประโยคตัวอย่างที่แสดงวิธีใช้ถ้อยคำตามภาษาที่มีใช้จริง
เพื่อให้ผู้ใช้พจนานุกรมสามารถใช้เป็นแบบที่ถูกต้องในการศึกษาและฝึกฝน นอกจากนี้พจนานุกรมฉบับซีดีรอมยังบันทึกเสียงคำอ่านของคำศัพท์
และมักเปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถอัดเสียงของตนเองในระหว่างการฝึกเลียนแบบอีกด้วย
พจนานุกรมจากสำนักพิมพ์อังกฤษมีบันทึกเสียงทั้งอังกฤษและแบบอเมริกันให้ผู้ใช้เลือกฝึกได้ตามต้องการ
อนึ่ง
พจนานุกรมบางฉบับ นอกจากจะออกเสียงศัพท์ที่เป็นคำตั้งเหมือนฉบับอื่น ๆ แล้ว ยังออกเสียงให้ฟังทั้งประโยคอีกด้วย
นับเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการศึกษาภาษาอังกฤษด้วยตนเอง
6. ดัดแปลง
เมื่อเลียนแบบแล้ว
ต้องรู้จักดัดแปลงให้เข้ากับวัตถุประสงค์ในการใช้ภาษาในสถานการณ์ต่าง ๆ การรู้จักดัดแปลงย่อมต้องอาศัยความรู้เรื่องไวยากรณ์ประกอบกับความรู้เรื่องศัพท์และสำนวนโวหารต่าง
ๆ เป็นพื้นฐานสำคัญ
ในพจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนสำหรับผู้เรียนภาษา
จึงให้ข้อมูลทางไวยากรณ์ในรูปของโครงแบบกริยา (verb pattern) หรือโดยใช้รหัสไวยากรณ์ (grammar code) ข้อมูลลักษณะนี้จะเอื้อประโยชน์ให้ผู้ใช้สามารถดัดแปลงถ้อยคำและโครงสร้างที่ปรากฏในประโยคตัวอย่างได้สะดวกยิ่งขึ้น
7. วิเคราะห์
การเรียนภาษาในระดับเบื้องต้นจำต้องอาศัยกันเรียนอยู่มาก
แต่เมื่อเรียนในระดับสูงขึ้นต้องอาศัยการวิเคราะห์เข้ามาเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในการอ่าน การเขียน และการเปลภาษาวิชาการและภาษาวิชาชีพ
ซึ่งมีความซับซ้อนยิ่งกว่าภาษาทั่วไป การวิเคราะห์มีได้ใน 3 ระดับใหญ่ๆ คือ
- ระดับศัพท์ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของศัพท์และสำนวน
- ระดับไวยากรณ์ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายของวลีและประโยค
- ระดับถ้อยความ คือ
วิเคราะห์โครงสร้างและความหมายระหว่างประโยค ตลอดจนโครงสร้างและความหมายโดยรวม
ที่พูดหรือผู้เขียนต้องการสื่อ
8.
ค้นคว้า
ความรู้ที่มีอยู่ในตำรา
แบบเรียน หรือสื่อการเรียนอื่น ๆ ยังมีไม่เพียงพอ
ผู้เรียนจำต้องค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากพจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนสำหรับผู้เรียนภาษา
ซึ่งให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์สารพัดด้านไว้อย่างครบครัน
ไม่เฉพาะแต่ให้ความหมายของคำศัพท์เท่านั้น
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบ้านเรายังอ่อนเรื่องการค้นคว้าอยู่มาก
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ครูผู้สอนภาษาอังกฤษบางส่วนนอกจากไม่แนะนำส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้พจนานุกรมแล้ว
บางครั้งยังไม่สนับสนุนให้ใช้และถึงกับภาพใช้ก็มี
แต่จะสอนให้รู้จักเดาความหมายจากรูปศัพท์บ้าง จากบริบทบ้าง
และมักจะอ้างตามตำราฝรั่งว่า ในการอ่าน (หรือการฟัง)
ไม่จำเป็นต้องรู้ศัพท์ทุกคำก็ได้
จริงอยู่ ในสภาพความเป็นจริงของการใช้ภาษาการตั้งเป้าหมายว่าผู้เรียนหรือผู้ใช้ภาษาต้องรู้ศัพท์หมดทุกคำ
หรือต้องใช้ภาษาโดยไม่ผิดเลยนั้น เป็นสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เพราะเป็นไปไม่ได้
และไม่จำเป็นด้วย แต่การพร่ำสอนให้ผู้เรียนอาศัยแต่การเดา ไม่ต้องค้นคว้าเพิ่มเติม
(คอยฟังแต่ครูบอกอย่างเดียว)
จนผู้เรียนคล้อยตามได้หลงเชื่อแล้วก็เป็นอันตรายอย่างมากเช่นกัน
ยิ่งต้องเรียนและใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่สูงขึ้น มักจะพบว่า ความรู้ต่าง ๆ
ที่เรียนมานั้นพร่ามัว ทำให้ขาดความมั่นใจในการใช้ภาษา
หรือมิฉะนั้นก็ใช้ภาษาไปอย่างผิดๆถูกๆ โดยไม่รับผิดชอบ อันเป็นปรากฏการณ์ที่มีให้พบเห็นบ่อยๆ
แม้ในสถาบันอุดมศึกษา
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดอีกกรณีหนึ่งก็คือ
การที่คนไทยออกเสียงคำภาษาอังกฤษไม่ถูกต้อง
มักมีสาเหตุจากการใช้วิธีการเดาจากตัวสะกดตามที่ครูทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
และฝึกออกเสียงตามครู โดยขาดความรู้พื้นฐานเรื่องระบบเสียงในภาษาอังกฤษ
และความสัมพันธ์ระหว่างตัวสะกดกับวิธีออกเสียงตามหลักวิชาที่ถูกต้อง
อีกทั้งไม่ได้รับการปลูกฝังนิสัยในการค้นคว้าตรวจสอบให้รู้ชัด
ฉะนั้นเมื่อสภาพในสังคมส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้
ผู้เรียนเองจำต้องตื่นตัวและพึ่งตัวเองให้มากขึ้น อย่างน้อยก็ต้องเรียนรู้วิธีใช้สัทอักษร
(phonetic alphabet) ประกอบกับการฟังวิธีออกเสียงจริงโดยเจ้าของภาษาจากแผ่นซีดีรอมที่มาพร้อมกับพจนานุกรมภาษาอังกฤษล้วนสำหรับผู้เรียนภาษาดังกล่าวมาแล้ว
9.
ใช้งาน
เมื่อเรียนรู้ภาษาไปบ้างแล้ว
ก็สมควรจะใช้งานจริงในภาคสนามด้วย เพื่อทดสอบและตรวจสอบดูว่าความรู้และทักษะที่ได้เรียนรู้มานั้นเพียงพอหรือไม่
ด้วยเหตุนี้ในมหาวิทยาลัยต่างประเทศบางแห่ง
จึงมีข้อกำหนดสำหรับนักศึกษาวิชาภาษาต่างประเทศ
ให้ไปเรียนในประเทศเจ้าของภาษาอย่างน้อยหนึ่งภาคการศึกษา
การมีโอกาสได้ไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเช่นนี้ทำให้ได้ใช้ภาษาในสภาจริงอย่างเต็มที่
ได้เรียนรู้ถึงวัฒนธรรมของเจ้าของภาษา
เป็นปัจจัยที่เสริมสร้างแรงจูงใจในการเรียนภาษาได้อย่างดียิ่ง
และทำให้ได้ตระหนักถึงจุดอ่อนจุดแข็งของตนเอง เนื่องจากได้เรียนรู้
"ของจริง" ซึ่งบางครั้งอาจแตกต่างอย่างมากจากประสบการณ์ในสถานการณ์จำลองพระในชั้นเรียนภาษาของบ้านเราเอง
อันเป็นการเปิดโอกาส
10. ปรับปรุง
ในการฝึกฝนการใช้ภาษา
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการใช้ภาษาในชีวิตจริง
ผู้เรียนภาษาที่ดีต้องช่างสังเกตและเรียนรู้จากข้อผิดพลาดบกพร่อง
ไม่ว่าในแง่ศัพท์สำนวน ไวยากรณ์ วิธีออกเสียง หรือในด้านอื่น ๆ ก็ตาม
เพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขด้วยการศึกษา ฝึกฝน วิเคราะห์ ค้นคว้า
และหาโอกาสไปทดสอบใหม่ เพื่อวัดความก้าวหน้าหรือพัฒนาการในการใช้ภาษาในด้านนั้นๆ
อนึ่งองค์ประกอบทั้งสิบของกลยุทธ์ในการเรียนภาษานี้มีความเกี่ยวเนื่องและสนับสนุนซึ่งกันและกัน
จำเป็นต้องนำมาใช้บ่อยๆ ใช้อย่างสม่ำเสมอและยังต้องใช้อย่างต่อเนื่องตลอดไปอีกด้วย
จึงจะบังเกิดผล เพราะว่าการเรียนภาษาถือเป็นกระบวนการที่ต้องดำเนินไปตลอดชีวิต
ดังที่มีผู้กล่าวไว้ว่า
ความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเป็นสิ่งที่ต้องเพราะบ่มสะสมเป็นเวลานาน
ไม่ใช่จะได้มาโดยเพียงผ่านการเรียนกวดวิชาหรือฝึกอบรมเข้มไม่กี่สิบชั่วโมง
ดังที่คนส่วนใหญ่มักเข้าใจกัน
จะเห็นได้ว่าการเรียนภาษาอังกฤษนั้นถึงแม้จะเป็นเรื่องยากสำหรับคนไทย
เพราะภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่ และมีความซับซ้อนละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก
จึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาหลักในด้านการศึกษาอีกเรื่องหนึ่งของคนไทย เพราะไม่ว่าคนไทยจะเรียนภาษาอังกฤษมาแล้วกี่ปี
ก็ไม่สามารถนำไปใช้ได้ถูกต้องจริง ซึ่งการที่จะผ่านพ้นปัญหาเหล่านี้ไปได้นั้น เราไม่ควรมัวแต่โทษปัจจัยภายนอก
เพราะเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราควรเริ่มที่ตัวเราเองและพึ่งตนเองให้มากที่สุด
ซึ่งการที่จะศึกษาภาษาอังกฤษให้เข้าใจอย่างถ่องแท้นั้น เราควรเริ่มจากการเปิดใจและเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษเสียก่อน
เมื่อเรามีทัศนคติที่ดีต่อภาษาอังกฤษนั้น
การที่เราจะเรียนรู้สิ่งเหล่านั้นไม่ยากเลย แต่ต้องพึงระลึกเสมอว่า
การเรียนภาษานั้น ต้องเรียนเนื้อหาควบคู่ไปกับทักษะ ไม่ควรละเลยอย่างใดอย่างหนึ่ง
เพราะหากละเลยสิ่งใดไป จะทำให้การเรียนรู้นั้นไม่บรรลุผล ซึ่งในการเรียนภาษาอังกฤษ
ก็จะมีกลยุทธ์ในการเรียนสำหรับบุคคลในทุกระดับความสามารถให้ประสบผลสำเร็จ ดังนี้
คือ ศึกษา ฝึกฝน สังเกต จดจำ เลียนแบบ ดัดแปลง วิเคราะห์ ค้นคว้า ใช้งาน
และปรับปรุง เมื่อเราสามารถทำตามกลยุทธ์ทั้งหมดเหล่านี้ได้แล้ว
เราจะกลายเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น