Learning
log : Seventh
22nd
September, 2015
ในสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากที่ได้มีการศึกษาเรื่องชนิดของ sentence แล้วพบว่า sentence มี 4 ชนิด ดังนี้ คือ ประโยคความเดียว (Simple
Sentence) ประโยคความรวม
(Compound Sentence) ประโยคความซ้อน (Complex Sentence) และประโยคความผสม (Compound-Complex
Sentence) ซึ่งถือว่ารูปแบบประโยคทั้ง 4
นี้มีความสำคัญยิ่งในการศึกษาภาษาอังกฤษ ทั้งการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
และยังรวมไปถึงการแปลความหมายของรูปประโยคต่างๆ เพราะหากเราไม่มีความรู้ในเรื่องของรูปประโยคต่าง
ๆ ก็จะไม่สามารถทำให้เราแปลความของบทอ่านเหล่านั้นได้
หรืออาจจะแปลความหมายออกมาผิดๆ หรือไม่สามารถนำไปใช้ได้ถูกต้อง ส่งผลให้ผู้รับสารหรือคนที่เราต้องการสื่อสารด้วยเกิดความเข้าใจผิดได้
ดังนั้น ในการศึกษาภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาแม่นั้น
เราจะต้องมีการศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และละเอียดถี่ถ้วน ต้องมีความพยายามสูง
และต้องมีความแม่นยำในการนำไปใช้ด้วย ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนการใช้ภาษาอังกฤษผ่านทักษะต่างๆและการศึกษาหาข้อมูลต่างๆเพิ่มเติมอยู่เสมอเช่นกัน
ซึ่งในสัปดาห์นี้จึงได้มีการศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่อง If
Clauses หรือ Conditional
Sentences
ซึ่งเป็นประโยคอีกชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญมากและเรามักจะพบเจอบ่อยๆ ซึ่งเนื้อหาที่ได้ศึกษามาและทำความเข้าใจ
มีดังนี้
If Clauses หรือ Conditional
Sentences คือ ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติ
ซึ่งประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยครวมกัน
และเชื่อมด้วย conjunction “if” ประโยคที่นำหน้าด้วย if แสดงเงื่อนไข เราเรียกว่า if-clause และประโยคที่แสดงผลเงื่อนไขนั้น
เราเรียกว่า main clause
ตัวอย่างเช่น
- If it rains , I
shall stay at home.
(If-clause) (main clause)
Conditional Sentences แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. TYPE ONE เป็นการสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible
condition)
หลักการใช้
A1. If + Present Simple, + Present Simple
ใช้กับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
(natural laws) ทางด้านวิทยาศาสตร์หรือการกระทำที่เป็นนิสัยของแต่ละบุคคล (habitual
actions) โดยที่ข้อความเหล่านี้
จะเป็นข้อความทั่วๆ ไป (general statements) ซึ่งเป็นความจริงเสมอ และเมื่อเหตุการณ์แรกเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้นเสมอ
เช่น
- If water is heated, it boils.
- If ice is heated, it melts.
ประโยคเงื่อนไขดังกล่าวนี้
เราสามารถใช้ when/whenever แทน if ได้
ซึ่งมีความหมายเหมือนกันทั้ง 2 คำ เช่น
- If people are tired ,
they generally go to bed.
- Whenever people are
tired , they generally go to bed.
- When people are tired ,
they generally go to bed.
A2. If + Present Simple, Imperative
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ถ้าเหตุการณ์แรกเกิดขึ้น เหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้นตามมาด้วย เช่น
- If you see
him, tell him to phone me.
- Don’t go outside the harbor if the wind is very strong.
B. If + Present Simple , Future
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและเฉพาะกรณี
(specific statement)ซึ่งเหตุการณ์ที่สองจะเกิดขึ้นหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเหตุการณ์แรก เช่น
- If George
goes, he will get the medicine for you.
- If he
comes, I will speak to him.
การใช้ Conditional
Sentences Type One อื่นๆ
1. if………not = unless (ถ้าไม่) ในประโยคปฏิเสธ เรามักใช้ unless แทน มีรูปดังนี้
Unless + Present Simple , S + will/shall + V1
เช่น
-
If there is no rain, the flowers will
die. = Unless there is some rain , the flowers
will die.
- Peter will miss the bus if he doesn’t run. = Peter will miss the bus unless he runs.
***ข้อควรจำ : unless นั้นมีความหมายเป็นปฏิเสธ มาจาก if……not
เพราะฉะนั้นในประโยค
if-clause เมื่อใช้unless แล้วกริยาในประโยคนั้นจะต้องเป็นรูปบอกเล่าเสมอ
2. even if ซึ่งมีความหมายว่า “ถ้าแม้ว่า” นั้นใช้เน้น if หมายความว่า “ถ้าเผื่อว่า” ในประโยค if-clause
ได้
เช่น
– Even if
you give me 10,000 baht , I won’t tell you.
– He never hurries even if he is very late.
3. ใช้ if +
Present Simple และใน main
clause ใช้กับกริยาช่วยอื่นๆ
คือ may,must ,needn’t,ought to, should, can , be able to ได้ จะมีความหมาย ดังนี้
- may แสดงความหมายแสดงผลของเงื่อนไขที่เป็นลักษณะที่น่าจะเป็นเป็นไปได้ (possible
result)
(ปกติเราใช้ will
/shall จะแสดงเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
(certain result) เช่น
– If
he starts now , he will be in time. (certain
result) แสดงผลของเงื่อนไขที่จะเกิดขึ้นแน่นอน
– If
he starts now , he may be in time. (possible
result) แสดงผลของเงื่อนที่น่าจะเป็นไปได้
- must , ought to , should ให้ความหมายว่า ต้อง , ควรจะ
– If
you go out tonight, you must put a coat on.
– If
you go out tonight, you ought to (should) put a
coat.
- ใช้ may , can ให้ความหมายเป็นการบอกอนุญาตให้ และการให้อนุญาต
– If
you are in a hurry , you can (may) take my car.
(=permission)
– If
you go out tonight , you may (can) wear my coat.
(=permission)
- ใช้ needn’t
= ไม่จำเป็นต้อง
- If
you go out tonight , you needn’t wear a coat.
- เมื่อ can มีความหมายว่า ความสามารถ (ability)
เราจะใช้ will
be able to เช่น
– If
you study hard, you’ll be able to speak English
very well soon.
4. if + will ใช้เมื่อแสดงการแนะนำหรือขอร้องอย่างสุภาพ เช่น
– If you’ll excuse my asking , how old are you?
– If you’ll forgive my saying so, you are getting fat.
5. if + should ใช้เมื่อสิ่งสมมุตินั้นมีโอกาสเป็นจริงได้น้อยในอนาคต
หรือผู้พูดไม่ค่อยแน่ใจว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ จงเปรียบเทียบ 2 ประโยคนี้
– If you
change your mind, I’ll gladly exchange it for
you.
(= I don’t know whether you will or
not. = ไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่)
– If
you should change your mind, I’ll gladly
exchange it for you.
(= It seems unlikely that you will
change your mind = ไม่มีแนวโน้มว่าจะเปลี่ยนใจ)
6. if + would like (would care) = wish / want (ใช้กับ if
cluase type one เท่านั้น
– If you would like to come , I’ll
get a ticket for you.
– If you would care to see some of
our designs, I’ll show them on Monday.
Conditional Sentences “Without If”
การละรูป if ใน Type One สามารถทำได้ โดยใช้ should
แทน if
- If you see Katty , tell her I want her.
= Should you see Katty , tell her I
want her.
- If the weather is too bad, we won’t go for a picnic.
= Should the weather be too bad , we
won’t go for a picnic.
(ประโยคที่ใช้ if และ should ดังกล่าวนี้มีความหมายเหมือนกัน
แต่ประโยคที่ใช้ should นิยมใช้ในภาษาเขียน)
2. TYPE TWO เป็นการสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
(impossible condition)
โครงสร้าง
If + Past Simple , S + would + V1
1. If + S +were + to+V1 , S+ would +
V1
2. Unless + Past Simple , S + would
+ V1
หลักการใช้
- ผู้พูดแสดงความสงสัยว่าเหตุการณ์ที่สมมติจะไม่เกิดขึ้นเพราะฉะนั้นผลของการสมมติจะไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน เช่น
– If I
had money , I would go abroad. (=I don’t have
money right now.)
– What would
you do if you came top in the exam? (= I have a
lot of doubt.)
- เมื่อพูดถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้หรือจินตนาการ
(Impossible and imaginary) เช่น
– What would
you do if you saw a ghost?
– If
today were Sunday , I would be at home. (but
today isn’t Sunday.)
(=
Were today Sunday I would be at home.)
การละรูป if จะใช้กับกริยา were
– If
I were you , I would go to study abroad.
(=Were
I you , I would go to study abroad.)
– If
I were a bird , I would fly all over the world.
(=
Were I a bird , I would fly all over the world.)
หมายเหตุ — เราใช้ were
กับประธานที่เป็นทั้งเอกพจน์และพหูพจน์
เช่น if I were , if he were , if she were, if they were , เป็นต้น เพราะเป็นการสมมติจากจินตนาการ
แต่ถ้าใช้ was กับประธานเอกพจน์ก็ได้
เช่นกันเ ช่น If I was, ect….
นอกจาก would
ที่ใช้ใน main
clause แล้ว
ยังมีกริยาช่วย should , might , couldที่สามารถใช้ใน conditional Type Two นี้ได้อีก
แต่ความหมายแตกต่างกันออกไป
– If she came , I should/would see her. (แสดงผลที่จะเกิดขึ้นตามสมมติ certain
result)
– If she came , I might see her. (แสดงการคาดคะเน possibility)
– If it stopped snowing , he would go out. (certain result)
– If it stopped snowing , you could go out. (permission , ability)
การใช้ Conditional
Sentences Type Two อื่นๆ
- เราใช้ were
to + V1 แทน Past
Simple ใน if-clause
เพื่อเน้นถึงการสมมติที่ไม่น่าจะเป็นไปได้
– If
I passed the exam , he would be astonished.
– If
I were to pass the exam , he would be
astonished.
ในประโยคทั้งสองข้างต้นนี้
มีความหมายเหมือนกัน แต่ประโยคที่ใช้ were
to นั้น
ผู้พูดมิได้หวังว่าจะสอบผ่าน
- If he went , he would tell you
first.
- If he were to to go , he would
tell you first.
(were to goกล่าวถึงแผนการและการเสนอแนะ)
- การใช้ unless แทน if…not ใน Type
Two
- She wouldn’t cry like that if she weren’t ill.
= She wouldn’t cry like that unless she were ill.
- I wouldn’t eat them if I didn’t like them.
= I wouldn’t like them unless I liked them.
- การใช้ would ใน Type
Two
- เมื่อแสดงความรำคาญในกรณีที่ถูกรบกวน
– If
you would stop singing , I would be able to study.
- ใช้ในจดหมายราชการ หรือจดหมายธุรกิจ
- I would be very
grateful if you would pay your bill.
– We
should appreciate it if you would fill in this form.
3. TYPE THREE เป็นการสมมติในอดีต แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย
และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
โครงสร้าง
If + Past Perfect, S + would + have
+ V3
หลักการใช้
- If + Past Perfect, S+ would + V1 NOW ใช้กับเหตุการณ์สมมุติที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
ความเป็นจริงในอดีต:
- You didn’t go to the party last
night.
- You didn’t meet your girlfriend.
สิ่งสมมุติ : If
you had gone to the party last night , you would have met your girlfriend.
( = Had you gone to the party last night, you would have met your
girlfriend.)(การละรูป if)
- I didn’t pass the exam last
semester.
- I didn’t study hard.
สิ่งสมมุติ : I
would have passed the exam last smester if I had studied hard.
(= Had I studied hard , I would have passed the exam last
semester.)
****หมายเหตุ
****การสมมุติเหตุการณ์อาจเป็นการผสมผสานกันของเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบันก็ได้
ซึ่งเราจะเรียกว่าเป็นแบบผสม (Mixed Type) กล่าวคือ การสมมุติเหตุการณ์ที่ตรงกันข้ามกับความจริงในอดีต
ใช้ Type three และการสมมุติเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับความเป็นจริงในปัจจุบันใช้ Type
Two สังเกตโครงสร้างแบบนี้
นั่นคือ ประโยค if-clause เป็นเหตุการณ์สมมติในอดีต และ main clauseเป็นเหตุการณ์สมมุติในปัจจุบันดูตัวอย่างต่อไปนี้
Mixed Type
– If I had checked the oil in my car
carefully yesterday , I wouldn’t be in trouble now.
(นั่นคือ ความเป็นจริงในอดีตคือ I
didn’t check the oil in my car yesterday และความจริงในปัจจุบันคือ I am
in trouble now.)
- If I hadn’t gone to bed so late
last night, I wouldn’t be tired today..
(นั่นคือ ความเป็นจริงในอดีต คือ I
went to bed so late last night.ความจริงในปัจจุบันคือ I am tired today.)
หมายเหตุ :
Conditional Sentences จะขึ้นต้นด้วยประโยค If-Clause หรือ Main Clause ก็ได้ เช่น
- If I had some money , I would go abroad.
= I would go abroad if I had some money.
หลังจากที่ได้มีการศึกษาเรื่อง
If Clauses หรือ Conditional Sentences แล้วพบว่า If Clauses หรือ Conditional
Sentences คือ
ประโยคที่มีข้อความแสดงเงื่อนไข (conditions) หรือการสมมุติ
ซึ่งสามารถแบ่งออกไปเป็น 3 ประเภท คือ type one คือ การสมมติถึงเหตุการณ์ในปัจจุบันหรืออนาคต
แสดงเงื่อนไขที่น่าจะเป็นไปได้ (possible condition) type
two คือ การสมมติในปัจจุบันที่บอกความสงสัย (doubt) แสดงเงื่อนไขที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ (impossible
condition) และ type three คือ การสมมติในอดีต
แสดงเงื่อนไขที่ไม่อาจเป็นไปได้เลย และตรงกันข้ามกับความเป็นจริงในอดีต
ซึ่ง If Clauses
แต่ละประเภทก็มีโครงสร้างของประโยคและมีหลักการใช้ที่แตกต่างกันออกไป
นอกจากนั้นยังมี การใช้คำอื่นๆ แทนคำว่า If ในประโยค If
Clauses การละ If และการผสมผสานของเหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน
ซึ่งเรียกว่า mixed typeอีกด้วย
ซึ่งก็ถือเป็นข้อควรจำที่มีความสำคัญมากเช่นกัน เพราะในบางกรณีการใช้ If อาจไม่เป็นที่นิยม
หรือจำเป็นจะต้องใช้คำอื่นแทนเพื่อให้มีความหมายที่ดูดีขึ้น
อีกทั้งยังมีหมายเหตุและข้อยกเว้นอีกมากมายที่เราจะต้องทำความเข้าใจและต้องสามารถจำให้ได้
เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้ที่ถูกต้องด้วย
ซึ่งหลังจากที่ได้มีการศึกษาแล้วปรากฏว่ามีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
แต่เพื่อให้สามารถจำได้ดีนั้นจำเป็นต้องนำไปใช้บ่อยๆด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น