การฝึกทักษะการพูด
ในสัปดาห์ที่แล้ว
ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลง ฟังบทสนทนา และการดูหนังไปแล้วซึ่งถือว่ามีการพัฒนาทักษะทางด้านการฟังที่ดีขึ้น
เพราะดิฉันสามารถฟังสำเนียงอเมริกันได้เข้าใจมากขึ้น และฟังการพูดหรือเพลงที่เร็วๆได้มากขึ้น
ซึ่งนั่นคือก้าวแรกของการฝึกทักษะ และต่อมาในสัปดาห์นี้
ดิฉันจึงคิดว่าดิฉันจะฝึกทักษะการพูด
ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเช่นกันในการสื่อสาร เพราะในการเรียนภาษาอังกฤษและในชีวิตประจำวันเราจำเป็นจะต้องพบเจอและพูดคุยกับชาวต่างชาติมากมาย
แต่ทักษะทางด้านการพูดของดิฉันยังอ่อนมาก
เพราะดิฉันไม่ค่อยเก่งหลักไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษจึงทำให้ไม่มีความกลัวและเขินอายในการพูดคุยภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ
ทั้งนี้ดิฉันยังไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับชาวต่างชาติอีกด้วย และนอกจากนี้ดิฉันยังกลัวผิด
กลัวเสียหน้า และกลัวเขาไม่เข้าใจ ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดมาก
เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยเก่งหลักไวยากรณ์แต่เราก็สามารถพูดคุยภาษาอังกฤษได้
และถึงแม้ว่าชาวต่างชาติจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็จะพยายามทำความเข้าใจหรือช่วยแนะนำให้เราพูดได้ถูกต้อง
ซึ่งดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการพูดตั้งแต่วันที่ 25-31 สิงหาคม พ.ศ. 2558
ดังนี้
ในวันที่ 25
สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า
“Click [by Mahidol] Pronunciation Part 2 (1/2)
พูดภาษาอังกฤษให้ชาวต่างชาติเข้าใจ”
จาก https://www.youtube.com/watch?v=ZNCZF7CMz70
ซึ่งในคลิปนี้เป็นการสอนออกเสียงคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกัน
และคนไทยมักจะเข้าใจผิดและออกเสียงผิด ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความสับสนเมื่อได้ฟัง ซึ่งดิฉันคิดว่าการออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำก็มีความสำคัญไม่แพ้การฝึกพูดในประโยค เพราะถือเป็นพื้นฐานในการพูดในประโยค โดยที่ในคลิปนี้มีความยาว 11.43 นาที ซึ่งคำที่เขาได้นำมาสอนมีตัวอย่างดังนี้ คำที่ขึ้นต้นด้วย h แต่ออกเสียง อ อ่าง , คำที่ลงท้ายด้วย –our จะออกเสียง 2 พยางค์ และ การออกเสียงคำที่ขึ้นต้นด้วย bi หรือ tri เป็นต้น โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำในตอนแรกจนครบทุกคำและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำอีกละ 3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดและออกเสียงคำที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกคำละ 3 รอบ และนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคการใช้คำเหล่านั้นมาให้ด้วย และดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยค ประโยคละ 5 รอบด้วยเช่นกัน
และคนไทยมักจะเข้าใจผิดและออกเสียงผิด ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความสับสนเมื่อได้ฟัง ซึ่งดิฉันคิดว่าการออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำก็มีความสำคัญไม่แพ้การฝึกพูดในประโยค เพราะถือเป็นพื้นฐานในการพูดในประโยค โดยที่ในคลิปนี้มีความยาว 11.43 นาที ซึ่งคำที่เขาได้นำมาสอนมีตัวอย่างดังนี้ คำที่ขึ้นต้นด้วย h แต่ออกเสียง อ อ่าง , คำที่ลงท้ายด้วย –our จะออกเสียง 2 พยางค์ และ การออกเสียงคำที่ขึ้นต้นด้วย bi หรือ tri เป็นต้น โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำในตอนแรกจนครบทุกคำและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำอีกละ 3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดและออกเสียงคำที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกคำละ 3 รอบ และนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคการใช้คำเหล่านั้นมาให้ด้วย และดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยค ประโยคละ 5 รอบด้วยเช่นกัน
ในวันที่ 27
สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังการสอนการออกเสียงประโยคที่มีชื่อว่า “ฝึกพูดอังกฤษกับ 30
ประโยคพื้นฐานง่ายๆ ไม่ยากเลย” จาก https://www.youtube.com/watch?v=t5qUYYP6M3k ซึ่งเป็นการสอนออกเสียงประโยคพื้นฐานง่ายๆที่เรามักพบเจอในชีวิตประจำวัน
ซึ่งบางประโยคเรายังคงออกเสียงผิด ทำให้ผู้ฟังเกิดการสับสนหรือไม่เข้าใจได้
และนอกจากนี้ เขายังสอนเกี่ยวกับรูปประโยคอีกด้วยโดยที่ในคลิปนี้มีความยาวทั้งหมด 26.44
นาที ซึ่งประโยคในคลิปมีตัวอย่างดังนี้ เช่น Have a good
day, Can you repeat that?, Do you need help?, Don’t be late และ That’s
enough etc. ซึ่งในตอนแรกเขาจะสอนออกเสียงเป็นคำๆก่อน
โดยที่เขาจะเน้นการออกเสียงคำที่ยากให้เราฟังก่อน 2-3 รอบ
และหลังจากนั้นเขาจะออกเสียงทั้งประโยคแล้วให้เราออกเสียงตาม
ดิฉันจึงได้ออกเสียงตามเขาทีละประโยคจนครบทั้ง 30 ประโยค 1
รอบ และจากนั้นจึงย้อนกลับมาออกเสียงทีละประโยคอีกครั้ง ประโยคละ 3
รอบ เพื่อทำให้สามารถออกเสียงได้ถูกต้องมากขึ้น
ในวันที่ 28
สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังการสอนการบอกเวลาในภาษาอังกฤษ
ที่มีชื่อว่า “สอนบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ โดยครูเชอรี่ English Bright” จาก https://www.youtube.com/watch?v=X29o983a-tQ ซึ่งการบอกเวลานี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่เราจำเป็นจะต้องพูดได้
เพราะบ่อยครั้งที่ชาวต่างชาติมักจะเดินเข้ามาถามเวลากับเรา ดิฉันจึงมีความสนใจและอยากฝึกพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้
แต่ดิฉันยังเกิดความสับสนในการบอกเวลาอยู่
เพราะการบอกเวลานั้นมี 2 แบบ คือ แบบอเมริกันและแบบอังกฤษซึ่งมีความแตกต่างกัน
แต่แบบที่ใช้บ่อยและง่ายที่สุดคือแบบอเมริกัน โดยที่ในคลิปนี้มีความยาวทั้งหมด 21.07 นาที ซึ่งในคลิปนี้จะสอนเกี่ยวกับการบอกเวลาทั้งแบบอเมริกันและแบบอังกฤษก่อน
แล้วจึงมาสอนการพูดบอกเวลา ซึ่งเขาจะออกเสียงให้เราฟังก่อน
แล้วเราจึงออกเสียงตามทีละประโยค และเขายังมีบทสนทนาสั้นๆที่สอนเรื่องการบอกเวลา โดยจะมีการหยุดเวลาให้เราได้ฝึกพูดตามประโยคนั้นด้วย
โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยคในตอนแรกครบทุกประโยคและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดประโยคต่างๆอีกประโยคละ
3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดประโยคที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกประโยคละ
3 รอบ
ในวันที่ 29
สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า
“ANDREW BIGGS TV - ฝรั่งถามทาง!! บอกทางฝรั่งอย่างไรดี?” จาก https://www.youtube.com/watch?v=hqoojT3kHe8 ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เรามักจะพบเจอชาวต่างชาติมาถามทางอยู่บ่อยครั้ง
แต่เราไม่สามารถบอกทางแก่เขาได้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรในภาษาอังกฤษ
ซึ่งในคลิปนี้จะสอนเราในเรื่องการออกเสียงที่ถูกต้องการบอกทิศทางในแต่ละทาง (direction
words) และยังสอนเรื่องการใช้คำต่างๆที่มีความหมายคล้ายกันอีกด้วย ซึ่งในตอนแรกเขาจะออกเสียงให้เราฟังก่อน
แล้วเราจึงออกเสียงตามทีละคำ และต่อมาเป็นการออกเสียงทีละประโยค
โดยจะมีการหยุดเวลาให้เราได้ฝึกพูดตามประโยคนั้นด้วย
โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยคในตอนแรกครบทุกประโยคและในรอบที่ 2
ดิฉันจะฝึกพูดประโยคต่างๆอีกประโยคละ 3 รอบ
และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดประโยคที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกประโยคละ
3 รอบ
ในวันที่ 30
สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามบทสนทนาที่มีชื่อว่า “
making an appointment” จาก https://www.youtube.com/watch?v=vhYBKcDZ5PA ซึ่งเป็นการพูดคุยกันเกี่ยวกับการนัดหมาย
โดยที่จะมีเหตุการณ์ทั้งหมด 3 เหตุการณ์
ซึ่งรวมเป็นความยาวทั้งหมด 6.00 นาที
ในแต่ละเหตุการณ์จะมีการสนทนากันก่อนในรอบแรก เพื่อให้เราฝึกฟังก่อน
และในรอบที่สองจะมีการสนทนากันทีละประโยคและหยุดลงเพื่อให้เราพูดตาม โดยจะมี subtitle
ภาษาอังกฤษให้เราดูและฝึกพูดตาม
ซึ่งดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดโดยการพูดตามคลิปในช่วงที่เขาหยุดให้พูดตาม เหตุการณ์ละ
5 ครั้ง และพูดพร้อมกับเขาในตอนที่เขาสนทนากันแบบที่ไม่มี subtitle
อีกเหตุการณ์ละ 5 ครั้งในเหตุการณ์แรกจะเป็นการนัดหมายกันระหว่างเพื่อนร่วมงานหญิงและชายในที่ทำงาน
ซึ่งผู้ชายจะชวนผู้หญิงไปทานข้าวเย็นในพฤหัสบดีที่จะถึงแต่ทางฝ่ายหญิงไม่ว่าง
เธอจึงเสนอว่าวันพุธได้ไหม เธอว่าง ในเหตุการณ์ที่ 2 จะเป็นการนัดหมายกันระหว่างหญิงและชายคู่หนึ่ง
ซึ่งพวกเขาได้นัดหมายกันทางโทรศัพท์ โดยที่ฝ่ายชายได้เสนอชวนไปเที่ยวโรงละครสัตว์แต่ฝ่ายหญิงไม่ชอบ
ฝ่ายชายจึงเสนอชวนไปดูคอนเสิร์ต พวกเขาจึงตกลง นัดเวลาและสถานที่กัน
ส่วนในเหตุการณ์สุดท้ายเป็นการนัดหมายกันระหว่างหญิงและชายคู่หนึ่งทางโทรศัพท์เช่นเดียวกัน
ซึ่งพวกเขาได้นัดเจอกันในเวลา 11.30 น. หลังเลิกงาน
ในวันที่ 31
สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามบทสนทนาที่มีชื่อว่า “Inquiring
about health” จาก https://www.youtube.com/watch?v=b6k9w1Xp3rY ซึ่งเป็นการสอบถามและพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพ
โดยที่จะมีเหตุการณ์ทั้งหมด 3 เหตุการณ์ ซึ่งรวมเป็นความยาวทั้งหมด 7.00 นาที
ในแต่ละเหตุการณ์จะมีการสนทนากันก่อนในรอบแรก เพื่อให้เราฝึกฟังก่อน
และในรอบที่สองจะมีการสนทนากันทีละประโยคและหยุดลงเพื่อให้เราพูดตาม โดยจะมี subtitle
ภาษาอังกฤษให้เราดูและฝึกพูดตาม
ซึ่งดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดโดยการพูดตามคลิปในช่วงที่เขาหยุดให้พูดตาม เหตุการณ์ละ
5 ครั้ง และพูดพร้อมกับเขาในตอนที่เขาสนทนากันแบบที่ไม่มี subtitle อีกเหตุการณ์ละ 5
ครั้งในเหตุการณ์แรกจะเป็นการสนทนากันระหว่างผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งในที่ทำงาน
โดยที่ผู้ชายคนนั้นประสบอุบัติเหตุโดยการล้มสเก็ตบอร์ดมา
เพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นผู้หญิงเลยสอบถามอาการ ในเหตุการณ์ที่ 2
เป็นการสนทนากันระหว่าง Jill กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของเธอ
เพื่อนของ Jill มาที่บ้านและพบว่า Jill ดูไม่สดใสและดูแย่ จึงถามว่า Jill เป็นอะไร ซึ่ง Jill
คิดว่าเธอกำลังไม่สบาย แต่เธอยังไม่ได้ไปหาหมอ
ส่วนในเหตุการณ์สุดท้าย เป็นการสนทนากันระหว่างหมอและผู้ป่วย
ซึ่งผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เขารู้สึกไม่ดีเลย หมอจึงตรวจดูอาการและจ่ายยาให้เขา
และนัดเขามาดูอาการอีกครั้งในวันพรุ่งนี้
จากการฝึกทักษะการพูดตั้งแต่วันที่
25-31 สิงหาคม พ.ศ. 2558 โดยดิฉันได้ฝึกโดยการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ที่มีความคล้ายคลึงกันซึ่งคนไทยมักเข้าใจผิดและออกเสียงไม่ถูกต้อง
2 คลิป การฝึกออกเสียงประโยคพื้นฐาน 30 ประโยคอีก 1 คลิป การบอกเวลาในภาษาอังกฤษ 1
คลิป และการออกเสียงตามบทสนทนาต่างๆอีก 3 คลิป พบว่าดิฉันสามารถพัฒนาตนเองได้ดีขึ้น มีความมั่นใจในการพูดมากขึ้นและไม่เขิน
อายอีกต่อไป
ซึ่งดิฉันได้ทดสอบการพูดของดิฉันโดยการโทรคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติของดิฉันใน Facebook ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยคุยกับดิฉันแล้วแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด
ดิฉันต้องย้ำหลายๆครั้งเขาจึงจะเข้าใจ
แต่หลังจากที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดตามแผนที่ได้กำหนดไว้สำเร็จแล้วนั้นปรากฏว่าเขาสามารถฟังดิฉันพูดได้เข้าใจมากขึ้นโดยที่ดิฉันไม่จำเป็นต้องย้ำหลายครั้ง
ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการพัฒนาทักษะที่ดีมาก แต่ดิฉันก็ยังคงไม่หยุดฝึกทักษะนี้เพราะหากเราละเลยการฝึกทักษะไปก็อาจทำให้เรากลับไปเป็นคนที่ไม่เก่งอีกตามเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น