วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558

การศึกษานอกห้องเรียน (25th August, 2015)


การฝึกทักษะการพูด

ในสัปดาห์ที่แล้ว ดิฉันได้ฝึกทักษะการฟังโดยการฟังเพลง ฟังบทสนทนา และการดูหนังไปแล้วซึ่งถือว่ามีการพัฒนาทักษะทางด้านการฟังที่ดีขึ้น เพราะดิฉันสามารถฟังสำเนียงอเมริกันได้เข้าใจมากขึ้น และฟังการพูดหรือเพลงที่เร็วๆได้มากขึ้น ซึ่งนั่นคือก้าวแรกของการฝึกทักษะ และต่อมาในสัปดาห์นี้ ดิฉันจึงคิดว่าดิฉันจะฝึกทักษะการพูด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งเช่นกันในการสื่อสาร เพราะในการเรียนภาษาอังกฤษและในชีวิตประจำวันเราจำเป็นจะต้องพบเจอและพูดคุยกับชาวต่างชาติมากมาย แต่ทักษะทางด้านการพูดของดิฉันยังอ่อนมาก เพราะดิฉันไม่ค่อยเก่งหลักไวยากรณ์ในภาษาอังกฤษจึงทำให้ไม่มีความกลัวและเขินอายในการพูดคุยภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ ทั้งนี้ดิฉันยังไม่ค่อยมีโอกาสได้พูดคุยกับชาวต่างชาติอีกด้วย และนอกจากนี้ดิฉันยังกลัวผิด กลัวเสียหน้า และกลัวเขาไม่เข้าใจ ซึ่งถือเป็นความคิดที่ผิดมาก เพราะถึงแม้ว่าเราจะไม่ค่อยเก่งหลักไวยากรณ์แต่เราก็สามารถพูดคุยภาษาอังกฤษได้ และถึงแม้ว่าชาวต่างชาติจะไม่เข้าใจ แต่เขาก็จะพยายามทำความเข้าใจหรือช่วยแนะนำให้เราพูดได้ถูกต้อง ซึ่งดิฉันได้เริ่มฝึกทักษะการพูดตั้งแต่วันที่ 25-31 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดังนี้
ในวันที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า “Click [by Mahidol] Pronunciation Part 2 (1/2) พูดภาษาอังกฤษให้ชาวต่างชาติเข้าใจ”  จาก https://www.youtube.com/watch?v=ZNCZF7CMz70  ซึ่งในคลิปนี้เป็นการสอนออกเสียงคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกัน
และคนไทยมักจะเข้าใจผิดและออกเสียงผิด ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความสับสนเมื่อได้ฟัง ซึ่งดิฉันคิดว่าการออกเสียงคำศัพท์แต่ละคำก็มีความสำคัญไม่แพ้การฝึกพูดในประโยค เพราะถือเป็นพื้นฐานในการพูดในประโยค โดยที่ในคลิปนี้มีความยาว 11.43 นาที ซึ่งคำที่เขาได้นำมาสอนมีตัวอย่างดังนี้ คำที่ขึ้นต้นด้วย h แต่ออกเสียง อ อ่าง , คำที่ลงท้ายด้วย –our  จะออกเสียง 2 พยางค์ และ การออกเสียงคำที่ขึ้นต้นด้วย bi หรือ tri เป็นต้น โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำในตอนแรกจนครบทุกคำและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำอีกละ 3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดและออกเสียงคำที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกคำละ 3 รอบ และนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคการใช้คำเหล่านั้นมาให้ด้วย และดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยค ประโยคละ 5 รอบด้วยเช่นกัน
                ในวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า “Click [by Mahidol] Pronunciation Part 2 (2/2) ออกเสียง ให้ถูกต้องสำคัญยิ่งกว่าสำเนียงจาก https://www.youtube.com/watch?v=GkxCbXxKFPg  ซึ่งในคลิปนี้เป็นการสอนออกเสียงคำศัพท์ที่ออกเสียงคล้ายกันและคนไทยมักจะเข้าใจผิดและออกเสียงผิด ทำให้ชาวต่างชาติเกิดความสับสนเมื่อได้ฟัง เพราะตัวอักษรและสระบางตัวสามารถออกเสียงได้หลายแบบ ซึ่งบางครั้งเราไม่สามารถรู้ได้ว่าเราจะต้องออกเสียงอย่างไร นี่ก็ถือเป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งของคนไทยที่สำคัญมากเช่นกัน โดยที่ในคลิปนี้มีความยาว 8.46 นาที ซึ่งคำที่เขาได้นำมาสอนมีตัวอย่างดังนี้ การออกเสียง ch ช หรือ ค , คำที่มี sy หรือ y เป็นพยางค์ที่ 2 คำที่ลงท้ายด้วย –ard  จะออกเสียง เอิด เป็นต้น โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำในตอนแรกจนครบทุกคำและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดและออกเสียงตามเขาทีละคำอีกละ 3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดและออกเสียงคำที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกคำละ 3 รอบ และนอกจากนี้ยังมีตัวอย่างประโยคการใช้คำเหล่านั้นมาให้ด้วย และดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยค ประโยคละ 5 รอบด้วยเช่นกัน
ในวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังการสอนการออกเสียงประโยคที่มีชื่อว่า  ฝึกพูดอังกฤษกับ 30 ประโยคพื้นฐานง่ายๆ ไม่ยากเลย”  จาก  https://www.youtube.com/watch?v=t5qUYYP6M3k    ซึ่งเป็นการสอนออกเสียงประโยคพื้นฐานง่ายๆที่เรามักพบเจอในชีวิตประจำวัน ซึ่งบางประโยคเรายังคงออกเสียงผิด ทำให้ผู้ฟังเกิดการสับสนหรือไม่เข้าใจได้ และนอกจากนี้ เขายังสอนเกี่ยวกับรูปประโยคอีกด้วยโดยที่ในคลิปนี้มีความยาวทั้งหมด 26.44 นาที ซึ่งประโยคในคลิปมีตัวอย่างดังนี้ เช่น Have a good day, Can you repeat that?, Do you need help?, Don’t be late และ That’s enough etc. ซึ่งในตอนแรกเขาจะสอนออกเสียงเป็นคำๆก่อน โดยที่เขาจะเน้นการออกเสียงคำที่ยากให้เราฟังก่อน 2-3 รอบ และหลังจากนั้นเขาจะออกเสียงทั้งประโยคแล้วให้เราออกเสียงตาม ดิฉันจึงได้ออกเสียงตามเขาทีละประโยคจนครบทั้ง 30 ประโยค 1 รอบ และจากนั้นจึงย้อนกลับมาออกเสียงทีละประโยคอีกครั้ง ประโยคละ 3 รอบ เพื่อทำให้สามารถออกเสียงได้ถูกต้องมากขึ้น
ในวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังการสอนการบอกเวลาในภาษาอังกฤษ ที่มีชื่อว่า “สอนบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ โดยครูเชอรี่ English Bright” จาก https://www.youtube.com/watch?v=X29o983a-tQ  ซึ่งการบอกเวลานี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่เราจำเป็นจะต้องพูดได้ เพราะบ่อยครั้งที่ชาวต่างชาติมักจะเดินเข้ามาถามเวลากับเรา  ดิฉันจึงมีความสนใจและอยากฝึกพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้  แต่ดิฉันยังเกิดความสับสนในการบอกเวลาอยู่ เพราะการบอกเวลานั้นมี 2 แบบ คือ แบบอเมริกันและแบบอังกฤษซึ่งมีความแตกต่างกัน แต่แบบที่ใช้บ่อยและง่ายที่สุดคือแบบอเมริกัน โดยที่ในคลิปนี้มีความยาวทั้งหมด 21.07 นาที ซึ่งในคลิปนี้จะสอนเกี่ยวกับการบอกเวลาทั้งแบบอเมริกันและแบบอังกฤษก่อน แล้วจึงมาสอนการพูดบอกเวลา ซึ่งเขาจะออกเสียงให้เราฟังก่อน แล้วเราจึงออกเสียงตามทีละประโยค และเขายังมีบทสนทนาสั้นๆที่สอนเรื่องการบอกเวลา โดยจะมีการหยุดเวลาให้เราได้ฝึกพูดตามประโยคนั้นด้วย โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยคในตอนแรกครบทุกประโยคและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดประโยคต่างๆอีกประโยคละ 3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดประโยคที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกประโยคละ 3 รอบ
ในวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า “ANDREW BIGGS TV - ฝรั่งถามทาง!! บอกทางฝรั่งอย่างไรดี?”  จาก    https://www.youtube.com/watch?v=hqoojT3kHe8  ซึ่งสำหรับเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เรามักจะพบเจอชาวต่างชาติมาถามทางอยู่บ่อยครั้ง แต่เราไม่สามารถบอกทางแก่เขาได้ เพราะเราไม่รู้ว่าจะต้องพูดอย่างไรในภาษาอังกฤษ ซึ่งในคลิปนี้จะสอนเราในเรื่องการออกเสียงที่ถูกต้องการบอกทิศทางในแต่ละทาง (direction words) และยังสอนเรื่องการใช้คำต่างๆที่มีความหมายคล้ายกันอีกด้วย ซึ่งในตอนแรกเขาจะออกเสียงให้เราฟังก่อน แล้วเราจึงออกเสียงตามทีละคำ และต่อมาเป็นการออกเสียงทีละประโยค โดยจะมีการหยุดเวลาให้เราได้ฝึกพูดตามประโยคนั้นด้วย โดยที่ดิฉันได้ฝึกพูดตามเขาทีละประโยคในตอนแรกครบทุกประโยคและในรอบที่ 2 ดิฉันจะฝึกพูดประโยคต่างๆอีกประโยคละ 3 รอบ และในรอบสุดท้ายดิฉันจะเน้นพูดประโยคที่ดิฉันยังไม่สามารถพูดได้ถูกต้องในตอนแรกอีกประโยคละ 3 รอบ
ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามบทสนทนาที่มีชื่อว่า “ making an appointment”  จาก   https://www.youtube.com/watch?v=vhYBKcDZ5PA  ซึ่งเป็นการพูดคุยกันเกี่ยวกับการนัดหมาย โดยที่จะมีเหตุการณ์ทั้งหมด 3 เหตุการณ์ ซึ่งรวมเป็นความยาวทั้งหมด 6.00 นาที ในแต่ละเหตุการณ์จะมีการสนทนากันก่อนในรอบแรก เพื่อให้เราฝึกฟังก่อน และในรอบที่สองจะมีการสนทนากันทีละประโยคและหยุดลงเพื่อให้เราพูดตาม โดยจะมี subtitle ภาษาอังกฤษให้เราดูและฝึกพูดตาม ซึ่งดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดโดยการพูดตามคลิปในช่วงที่เขาหยุดให้พูดตาม เหตุการณ์ละ 5 ครั้ง และพูดพร้อมกับเขาในตอนที่เขาสนทนากันแบบที่ไม่มี subtitle อีกเหตุการณ์ละ 5 ครั้งในเหตุการณ์แรกจะเป็นการนัดหมายกันระหว่างเพื่อนร่วมงานหญิงและชายในที่ทำงาน ซึ่งผู้ชายจะชวนผู้หญิงไปทานข้าวเย็นในพฤหัสบดีที่จะถึงแต่ทางฝ่ายหญิงไม่ว่าง เธอจึงเสนอว่าวันพุธได้ไหม เธอว่าง ในเหตุการณ์ที่ 2 จะเป็นการนัดหมายกันระหว่างหญิงและชายคู่หนึ่ง ซึ่งพวกเขาได้นัดหมายกันทางโทรศัพท์ โดยที่ฝ่ายชายได้เสนอชวนไปเที่ยวโรงละครสัตว์แต่ฝ่ายหญิงไม่ชอบ ฝ่ายชายจึงเสนอชวนไปดูคอนเสิร์ต พวกเขาจึงตกลง นัดเวลาและสถานที่กัน ส่วนในเหตุการณ์สุดท้ายเป็นการนัดหมายกันระหว่างหญิงและชายคู่หนึ่งทางโทรศัพท์เช่นเดียวกัน ซึ่งพวกเขาได้นัดเจอกันในเวลา 11.30 น. หลังเลิกงาน
ในวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2558 ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดด้วยการฟังและพูดตามบทสนทนาที่มีชื่อว่า “Inquiring about health” จาก https://www.youtube.com/watch?v=b6k9w1Xp3rY    ซึ่งเป็นการสอบถามและพูดคุยเกี่ยวกับสุขภาพ โดยที่จะมีเหตุการณ์ทั้งหมด 3 เหตุการณ์ ซึ่งรวมเป็นความยาวทั้งหมด 7.00 นาที ในแต่ละเหตุการณ์จะมีการสนทนากันก่อนในรอบแรก เพื่อให้เราฝึกฟังก่อน และในรอบที่สองจะมีการสนทนากันทีละประโยคและหยุดลงเพื่อให้เราพูดตาม โดยจะมี subtitle ภาษาอังกฤษให้เราดูและฝึกพูดตาม ซึ่งดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดโดยการพูดตามคลิปในช่วงที่เขาหยุดให้พูดตาม เหตุการณ์ละ 5 ครั้ง และพูดพร้อมกับเขาในตอนที่เขาสนทนากันแบบที่ไม่มี subtitle อีกเหตุการณ์ละ 5 ครั้งในเหตุการณ์แรกจะเป็นการสนทนากันระหว่างผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่งในที่ทำงาน โดยที่ผู้ชายคนนั้นประสบอุบัติเหตุโดยการล้มสเก็ตบอร์ดมา เพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นผู้หญิงเลยสอบถามอาการ ในเหตุการณ์ที่ 2 เป็นการสนทนากันระหว่าง Jill กับผู้หญิงอีกคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของเธอ เพื่อนของ Jill มาที่บ้านและพบว่า Jill ดูไม่สดใสและดูแย่ จึงถามว่า Jill เป็นอะไร ซึ่ง Jill คิดว่าเธอกำลังไม่สบาย แต่เธอยังไม่ได้ไปหาหมอ ส่วนในเหตุการณ์สุดท้าย เป็นการสนทนากันระหว่างหมอและผู้ป่วย ซึ่งผู้ป่วยมีอาการปวดท้อง เขารู้สึกไม่ดีเลย หมอจึงตรวจดูอาการและจ่ายยาให้เขา และนัดเขามาดูอาการอีกครั้งในวันพรุ่งนี้

จากการฝึกทักษะการพูดตั้งแต่วันที่ 25-31 สิงหาคม พ.ศ. 2558 โดยดิฉันได้ฝึกโดยการเรียนรู้การออกเสียงคำศัพท์ที่มีความคล้ายคลึงกันซึ่งคนไทยมักเข้าใจผิดและออกเสียงไม่ถูกต้อง 2 คลิป การฝึกออกเสียงประโยคพื้นฐาน 30 ประโยคอีก 1 คลิป การบอกเวลาในภาษาอังกฤษ 1 คลิป และการออกเสียงตามบทสนทนาต่างๆอีก 3 คลิป  พบว่าดิฉันสามารถพัฒนาตนเองได้ดีขึ้น มีความมั่นใจในการพูดมากขึ้นและไม่เขิน อายอีกต่อไป ซึ่งดิฉันได้ทดสอบการพูดของดิฉันโดยการโทรคุยกับเพื่อนชาวต่างชาติของดิฉันใน Facebook  ซึ่งก่อนหน้านี้เขาเคยคุยกับดิฉันแล้วแต่เขาไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่ดิฉันพูด  ดิฉันต้องย้ำหลายๆครั้งเขาจึงจะเข้าใจ แต่หลังจากที่ดิฉันได้ฝึกทักษะการพูดตามแผนที่ได้กำหนดไว้สำเร็จแล้วนั้นปรากฏว่าเขาสามารถฟังดิฉันพูดได้เข้าใจมากขึ้นโดยที่ดิฉันไม่จำเป็นต้องย้ำหลายครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นการเริ่มต้นการพัฒนาทักษะที่ดีมาก แต่ดิฉันก็ยังคงไม่หยุดฝึกทักษะนี้เพราะหากเราละเลยการฝึกทักษะไปก็อาจทำให้เรากลับไปเป็นคนที่ไม่เก่งอีกตามเดิม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น